Lake District ทะเลสาบ ทุ่งหญ้า ป่าเขา แหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ
เรื่อง/ภาพ สุเทพ ช่วยปัญญา
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกเดินทางไปประเทศอังกฤษ ด้วยเหตุผลที่ต่างกันไป บางคนอยากไปกินเป็ดย่างโฟซีซั่น นั่งชมเมืองจากลอนดอนอาย เดินช้อปปิ้งในกรุงลอนดอน หรือไปเชียร์ฟุตบอลทีมโปรดถึงขอบสนามตามเมืองใหญ่ น้อยคนนักที่จะเลือกไป เลกดิสตริกต์ (Lake District) เมืองโรแมนติกทางธรรมชาติ แห่งเกาะอังกฤษ สถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นเมืองมรกดโลกทางธรรมชาติ ใหม่ล่าสุดของสหราชอาณาจักร (United Kingdom)
ที่ประเทศอังกฤษระบบรางของเขาแข็งแรงมาก ในลอนดอนมีทั้งรถไฟใต้ดินบนดินเส้นทางถักทอเป็นใยแมงมุม เชื่อมโยงกันทั่วประเทศ การเดินทางไปเมืองต่างๆทำได้อย่างรวดเร็วสะดวกสบาย แม้จะใช้เงินลงทุนสูงในการสร้างทางรถไฟ แต่ก็คุ้มค่ากับการลงทุนระยะยาว ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย ให้นักท่องเที่ยวอย่างผมในการเดินทางไปยัง เลกดิสตริกต์ จากสนามบินเดินมาขึ้นรถไฟใต้ดิน มาลงที่สถานีแพดดิงตัน (Padding Station) แล้วก็นั่งรถไฟมาลงที่สถานีรถไฟยูสตัน ซึ่งเป็นชุมทางรถไฟสายเหนือ นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางต่อไปยัง เมืองลิเวอร์พูล เมืองแมนเชสเตอร์ เลกดีสตริกต์ ก็ต้องนั่งรถไฟสายนี้ สถานนีปลายทางอยู่ที่เมืองกลาสโกว์ (Glasgow) สก๊อตแลนด์ รถไฟวิ่งด้วยความเร็วสูงพอประมาณ หยุดเฉพาะสถานีของเมืองใหญ่ๆเท่านั้น บนรถไฟก็สะดวกสบายสะอาดทันสมัยเหมือนบนเครื่องบิน มีอาหารเสิร์ฟระหว่างทางให้ 1 มื้อ
ใช้เวลาเดินทางกว่าสองชั่วโมงมาลงที่สถานีออกเซนโฮล์ม (Oxenholme) เมืองเคนดอล (Kendal) ต้องนั่งรถไฟท้องถิ่นต่อมาอีกประมาณ 15 นาที มาลงที่สถานีเลคไซด์ (Lakeside) เช็คอินเข้าพักที่ เดอร์โนลล์ คันทรี่ เฮาส์ (The Knoll Country House) ที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก เป็นเกรสเฮาส์ในท้องถิ่น สูง 3 ชั้น ทาสีขาว ล้อมรอบไปด้วยป่าสนต้นสูงใหญ่ ตั้งอยู่ทางใต้ของทะเลสาบวินเดอร์เมียร์ (Lake Windermere) เจ้าของเป็นผู้หญิงพักอยู่คนเดียว มีห้องเหลือ 5 – 6 ห้อง ก็เลยเปิดให้นักท่องเที่ยวมาพัก ห้องรับแขกตกแต่งสไตล์คันทรี่ แขกที่มาพักจะได้รับไออุ่นจากเตาผิงในฤดูหนาว เตียงนอนคลุมด้วยมุงสีขาวแบบคลาสิก บริการพร้อมอาหารเช้าและอาหารเย็น ปรุงอาหารด้วยฝีมือของเจ้าบ้านเอง ได้ประสบการณ์สไตล์อังกฤษไปแบบเต็มในคืนนี้
เลกดิสตริกต์ (Lake District) อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ เลกดิสตริกต์ (Lake District National Park) แคว้นคัมเบรีย (Cumbria) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ เป็นเมืองแห่งทะเลสาบ ประกอบไปด้วยทะเลสาบน้อยใหญ่ถึง 16 แห่ง มีทะเลสาบใหญ่ๆอยู่ 2 แห่ง คือทะเลสาบวอสต์วอเทอร์ (Wastwater Lake) และทะเลสาบวินเดอร์เมียร์ (Windermere Lake) พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้า ป่าสน อยู่กลางหุบเขาสูง ยอดเขาสกอเฟลล์ไพก์ (Scafell Pike) คือจุดสูงสุดของเมือง อากาศหนาวเย็นตลอดปี ท่องเที่ยวทางธรรมชาติทำได้หลายแบบ ขับรถ เดินเขา ปั่นจักรยาน และล่องเรือ มีให้เลือกเที่ยวได้นานเป็นเดือนก็ไม่น่าเบื่อ
เช้าวันต่อมาซื้อทัวร์แบบวันเดย์ทริปที่เจ้าของเกรสเฮาส์แนะนำ ไกด์ท้องถิ่นมารับที่เกรสเฮาส์ด้วยรถเวนขนาดเล็ก 6 ที่นั่ง ขับพาชมเมืองไปเรื่อยๆ เห็นวิวทิวทัศน์ตรงไหนสวย อยากจอดถ่ายรูปก็แวะถ่ายได้เลย มองจากรถออกไปเห็นสองข้างเป็นทุ่งหญ้าเขียว ลดหลั่นไปตามไหล่เขา แวะถ่ายรูปเป็นจุดแรก มีฉากหน้าเป็นฟางข้าวสาลีที่เก็บเกี่ยวแล้ว ถัดไปเป็นฝูงแกะหากินอยู่ตามทุ่งหญ้า ไกลออกไปอีกหน่อยมีบ้านพักอาศัย “กระท่อมหิน” (Stone Cottage) สร้างขึ้นประมาณศตวรรษที่ 18 ตั้งซ้ำๆอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ โดยมียอดเขาสกอเฟลล์ไพก์ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน เป็นแบล็คกราวน์อยู่เบื้องหลัง กลายเป็นภาพภูมิทัศน์ในชนบทของเกาะอังกฤษที่สวยงามชื่นใจ คนเมืองนี้เขาพยายามอนุรักษ์สภาพนี้ไว้ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด
จุดที่สองรถจอดบนเนินเขาเล็กๆ เห็นรถคันหนึ่งวิ่งอยู่บนถนนลาดยาง คดเคี้ยวโค้งลัดเลาะไปตามไหล่เขา เป็นเส้นนำสายตาไปยังทะเลสาบวินเดอร์เมียร์ที่เห็นอยู่ไกลๆ ข้างถนนมีลำธารเล็กๆ ที่เกิดจากการของหิมะบนยอดเขา ไหลขนานไปกับเส้นทางรถยนต์ ผ่านป่าสนที่กำลังพลัดใบ บางช่วงก็ลอดผ่านสะพานหินที่สร้างข้ามลำธารให้รถแล่นผ่าน ระหว่างทางที่ขับรถผ่านก็จะเห็นนักเที่ยวประเภทเดินเขา (Hill walking) เดินกันเป็นกลุ่มเล็กๆประมาณ 4 – 5 คน เดินขึ้นเขาไปยังจุดชมวิวเหนือทะเลสาบวินเดอร์เมียร์
ที่หมายต่อไปได้แก่ “สโตนเฮนท์ น้อย” (Little Stonehenge) กลุ่มหินที่วางเรียงกันเป็นวงกลมอยู่กลางทุ่งหญ้าริมทะเลสาบวินเดอร์เมียร์ คล้ายกับสโตนเฮนจ์ (Stonehenge) ที่ตั้งอยู่บนที่ราบ ซอสลิสเบอรรี่ (Sollisbury) ทางใต้ของเกาะอังกฤษ ต่างกันที่สโตนเฮนจ์มีแท่งหินเรียงกัน 3 วง “สโตนเฮนท์ น้อย” มีแท่งหินเรียงกันแค่ชั้นเดียว แท่งหินก็เล็กกว่าและไม่มีแท่งหินวางเทินอยู่ข้างบน สันนิษฐานว่าอายุก็จะน่ารุ่นราวคราวเดียวกัน นักท่องเที่ยวที่ซื้อทัวร์แบบวันเดย์ทริป หรือปั่นจักรยานท่องเที่ยวผ่านมา ก็ต้องแวะมาถ่ายรูปที่ “สโตนเฮนท์ น้อย” ไว้เตือนความทรงจำว่าเคยมา ณ ที่แห่งนี้แล้ว
เช้าวันที่ 2 มาที่ท่าเรือเลคไซค์ (Lakeside Pier ) เพื่อมาซื้อทัวร์นั่งชมวิวทะเลสาบวินเดอร์เมียร์ บนเรือท่องเที่ยวสายสีเหลือง (yellow Cruise) ล่องจากท่าเรือเลคไซค์ไปขึ้นที่ท่าเรือโบว์เนส ใช้เวลาล่องเรือประมาณ 45 นาที ท่าเรืออยู่ห่างจากที่พักด้วยการเดินเท้าเพียง 5 นาที วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสมีแสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านก้อนเมฆสะท้อนผืนน้ำเป็นแวววาว สูดลมหายให้เต็มที่เอาอากาศบริสุทธิ์เข้าให้เต็มปอด ร่างกายก็สดชื่นทันตา บริเวณท่าเรือมีเรือยอร์ช เรือใบ และเรือท่องเที่ยว จอดเทียบท่าอยู่พร้อมให้บริการนักท่องเที่ยว อากาศเย็นสบายสวมเสื้อแจ็คเก็ตสักหนึ่งตัวก็อบอุ่นกำลังดี แค่มองวิวตรงข้ามท่าเรือก็สวยสุดยอดแล้วครับ มีบ้านหินสีเทาเข้มอยู่ตั้งริมทะเสาบ ด้านหลังติดเนินเขาป่าสนกำลังพลัดใบสีสันสลับสีเขียว เหลือง ม่วง ยืนมองอยู่สักพักก็มีฝูงนกสีขาวบินผ่านหน้าไป เป็นภาพจำที่สวยงามภาพหนึ่งครับ
เรือท่องเที่ยวตกแต่งทำด้วยไม้ทั้งลำ ชั้นล่างเป็นห้องกระจกมีเก้าอี้ไม้ ให้นักท่องเที่ยวนั่งชมวิวหลบลมหนาวที่พัดผ่านไปตามฤดูกาล ผมเลือกนั่งบนชั้นดาดฟ้าเพื่อให้เห็นวิวทะเลสาบ ได้เต็มตาแบบพานอรามา หิมะบนยอดเขาที่โอบล้อมอยู่โดยรอบ หลอมละลายแล้วไหลลงมารวมกันกลายเป็นทะเลสาบวินเดอร์เมียร์ จากเหนือจรดใต้ยาวประมาณ 18 กิโลเมตร กว้าง 1.5 กิโลเมตร ยาวแต่ไม่กว้าง คนท้องถิ่นเลยเรียกว่า “ทะเลสาบริบบิ้น” (Ribbon Lake) ผมนั่งอยู่ชั้นดาดฟ้ามองลงมา มีนักท่องเที่ยวนั่งชมวิวอยู่ที่หัวเรือ น้ำในทะเลสาบใส่จนเห็นท้องฟ้าลอยอยู่ในน้ำ ริมฝั่งมีปราสาทหลังน้อยสีครีมอ่อน หลังคาสีเทา ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ปูด้วยผืนหญ้าเขียวอ่อน ล้อมรอบด้วยพันธ์ุไม้ที่กำลังพลัดใบ ด้านหลังติดเขายอดปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ที่นี่หรือเปล่าที่เขาว่าเป็นภาพที่สวยเกินคำบรรยาย
ช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ เห็นท่าจะจริง หันมาอีกที่เรือก็มาเทียบที่ท่าเรือโบว์เนส (Bowness Pier) เดินเข้าตัวเมืองวินเดอร์เมียร์ อยู่ทางตอนกลางของทะเลสาบวินเดอร์เมียร์ เป็นเมืองเล็กๆ เงียบสงบร่มรื่น คนท้องถิ่นดำเนินชีวิตไปอย่างช้าๆไม่รีบเร่ง ตรงกันข้ามกับความวุ่นวายในเมืองใหญ่อย่างกรุงลอนดอน ถึงแม้จะอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ที่นี่เขาก็ไม่ได้สงวนไว้สำหรับพืชพันธุ์และสัตว์ป่าเท่านั้น คนเขาก็อนุญาตให้อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้ สองฝั่งถนนลาดยางแคบๆไปกลับ 2 ช่องจราจร รถราไม่ขวักไขว่ ตัวอาคาร ตึกร้านค้า บ้านช่อง โรงแรม เกรสเฮาส์ โบสถ์ ปลูกเรียงต่อกันเป็นแนวยาวตลอดสองข้างทาง ส่วนใหญ่ทำจากหินโทนสีเทาดำแบบกระท่อมหิน ตัวตึกก่ออิฐฉาบปูนทาสีขาว คาดแถบลายเส้น และลวดลายต่างๆด้วยไม้สนสีดำ หลังคาทรงสูงแบบทิวดอร์ สวยงามสไตล์อังกฤษในศตวรรษที่ 16
งดงามเงียบสงบมีคุณค่าต่อมวลมนุษยชาติ โดดเด่นทางด้านวัฒนธรรม คนท้องถิ่นใช้วิถีเรียบง่ายแบบเกษตรกรรม ด้วยความคิดที่สร้างสรรค์ ให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกับพืชพันธุ์และสัตว์ป่าได้ โดยไม่ลบกวนสิ่งแวดล้อมเกินความจำเป็น ร่วมกันพัฒนาไปสู่อนาคตแบบยั่งยืน สมค่ากับการที่ได้รับการยกย่องให้เป็นแหล่งมรกดโลกทางธรรมชาติ สัญญาว่าจะกลับมาเยือน เลกดิสตริกต์ อีกครั้งหากโอกาสนั้นมาถึง